|
23
ก.ย. แมนซิตี้ พบ อาร์เซน่อล! 5 ประเด็นเรือใบรอดตายคาบ้านเจ๊าเดือดปืนโต
แมนฯ ซิตี้ แชมป์ลีกเมืองผู้ดีแย่งเก้าอี้จ่าฝูงจาก ลิเวอร์พูล กลับมาครองได้แบบน่าใจหายใจคว่ำแม้จะสร้างผลงานชนะรวดห้านัดไม่สำเร็จ แต่พวกเขาอาศัยจำนวนนักเตะที่เหนือกว่าไล่ตีเสมอ อาร์เซน่อล 2-2 ได้ในนาทีสุดท้ายของการทดเวลาจากการฟาดแข้งเกมบิ๊กแมตช์ พรีเมียร์ลีก ที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ก.ย. ซึ่งส่งผลให้ เดอะ กันเนอร์ส พลาดโอกาสทะยานขึ้นครองตำแหน่งจ่าฝูงอย่างน่าเห็นใจเป็นที่สุด 1. เรือใบไร้ เดอ บรอยน์ แมนฯ ซิตี้ ปราศจาก เควิน เดอ บรอยน์ ตามคาดหลังกองกลางทีมชาติ เบลเยี่ยม มีอาการบาดเจ็บรบกวนมาจากเกม แชมเปี้ยนส์ลีก นัดเฝ้าบ้านเสมอกับ อินเตอร์ มิลาน 0-0 ต่อการปราศจากมิดฟิลด์คนสำคัญทำให้เจ้าถิ่นมอบปลอกแขนกัปตันทีมในเกมนี้ให้กับ ไคล์ วอล์คเกอร์ ซึ่งได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงแทน ริโก้ ลูอิส นอกจากแบ็คขวาทีมชาติ อังกฤษ แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปลี่ยนโผ 11 คนแรกรวมสามรายโดย อิลคาย กุนโดกัน ได้ออกสตาร์ตแทน เดอ บรอยน์ ขณะที่ แจ็ค กรีลิช เสียตำแหน่งให้กับ เฌเรมี่ โดกู 2. ปืนใหญ่ใช้งาน คาลาฟิออรี่ ตัวจริง อาร์เซน่อล ของกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า ซึ่งยังขาด มาร์ติน โอเดอการ์ด ที่บาดเจ็บเลือกใช้งาน ริคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก นัดแรกหลังย้ายมาจากทีม โบโลญญ่า เมื่่อช่วงซัมเมอร์ พร้อมกันนี้ ทีม ปืนใหญ่ มอบภาระกัปตันให้กับ บูคาโย่ ซาก้า ให้ทำหน้าที่สำคัญเป็นหนที่สองหลังจากปีกตัวกลั่นเคยสวมบทบาทดังกล่าวมาแล้วในเกมบู๊กับ เชฟฯ ยูไนเต็ด ซีซั่นก่อน อย่างไรก็ดี เบน ไวท์ มีชื่อนั่งเป็นตัวสำรองนัดนี้ซึ่งทำให้ เยอร์เรี่ยน ทิมเบอร์ ต้องโยกไปเล่นเป็นแบ็คขวาโดยที่สตาร์ทีมชาติ อิตาลี รับบทแบ็คซ้าย นอกจากนี้ อีกตำแหน่งที่ เดอะ กันเนอร์ส ปรับทัพเมื่อเทียบจากเกมบุกไปเสมอกับ อตาลันต้า 0-0 ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก คือ เลอันโดร ทรอสซาร์ ได้ออกสตาร์ตก่อนหน้า กาเบรียล เชซุส อดีตกองหน้า แมนฯ ซิตี้ ขณะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เคยค้าเกือกกับ เรือใบสีฟ้า มีชื่อเป็นตัวสำรอง ในรายของ ไวท์ ถือเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับทีมเมืองกรุงในเกม พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เดือนพ.ค.2022 โดยตลอดสองซีซั่นที่ผ่านมา เขาได้ออกสตาร์ตเกมลีกครบทุกนัด ด้าน โธมัส ปาร์เตย์ ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ 100 ให้กับ อาร์เซน่อล พอดีนับตั้งแต่ย้ายมาจาก แอตเลติโก มาดริด ในปี 2020 3. ฮาลันด์ ทาบชั้น โรนัลโด้ ในที่สุด เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ก็ยิงประตูที่ 100 ให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เรียบร้อยแล้วจากการตะบันให้ทีมเจ้าบ้านออกนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 9 จากการเสียประตูในนาทีที่ 8.09 ทำให้ อาร์เซน่อล ตาข่ายขาดในเกม พรีเมียร์ลีก เร็วที่สุดนับตั้งแต่เกมปะทะกับ แอสตัน วิลล่า ซึ่งพวกเขาเสียประตูในนาทีที่ 7 ให้กับ จอห์น แม็กกินน์ เมื่อเดือนธ.ค.2023 สำหรับสตาร์ทีมชาติ นอรเวย์ ถึงตอนนี้เขาทำสถิติเทียบเท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สมัยค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด แล้วในฐานะนักเตะที่คลำเป้าครบ 100 ตุงให้กับสโมสรเร็วที่สุดจากการลงเล่นเกมที่ 105 เท่ากันพอดี หากนับเฉพาะประตูใน พรีเมียร์ลีก หัวหอกร่างยักษ์ยิงได้เป็นลูกที่ 73 จาก 71 นัดโดยซีซั่นนี้เขากระทุ้งได้ 10 ประตูแล้วจากการลงเล่น 5 เกมซึ่งถือเป็นนักเตะรายแรกในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ด้วยที่ตะบันได้มากถึง 10 ประตูตั้งแต่ 5 เกมแรกของซีซั่น ขณะเดียวกัน ฮาลันด์ ยิงประตูใน เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นลูกที่ 60 จากการลงสนามเกมที่ 52 4. ราย่า ทำดีที่สุดแล้ว หลังเสียนักเตะไปตั้งแต่ช่วงทดเวลาของครึ่งแรกเนื่องจาก ทรอสซาร์ ได้สองใบเหลือง อาร์เซน่อล ก็จำเป็นต้องเล่นเกมรับแบบเต็มพิกัดตามระเบียบเพื่อพยายามรักษาสกอร์นำ 2-1 เอาไว้ให้ได้ ในฐานะทีมที่เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทีมของ อาร์เตต้า จึงต้านทานเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างไม่มีปัญหาแม้จะต้องเล่นกันแค่ 10 ชีวิตตลอด 45 นาทีหลัง ดังจะเห็นว่าต่อให้ เรือใบสีฟ้า ครองบอลบุกฝ่ายเดียวก็จริง แต่จังหวะทำเสียวของเจ้าบ้านไม่ค่อยได้ลุ้นสักเท่าไหร่ กระทั่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะแพ้คารังด้วยซ้ำ จวบจนช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย จอห์น สโตนส์ ตัวสำรองของเจ้าบ้านช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความขายหน้าในรังตัวเองแบบดฉิวเป็นที่สุด อย่างไรก็ดี แม้จะพลาดการคว้าสามแต้มกลับลอนดอนไปอย่างน่าเสียดายก็เห็นทีต้องยกนิ้วให้การเล่นเกมรับของ อาร์เซน่อล ว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดองอย่างแท้จริงที่แทบไม่เปิดโอกาสให้ แมนฯ ซิตี้ ได้ประตูที่สองเลยก่อนที่ สโตนส์ จะเป็นฮีโร่ของทีมเจ้าถิ่น ขณะเดียวกัน ดาบิด ราย่า ก็แสดงให้เห็นถึงความเหนียวหนึบที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้จากการเซฟประตูได้ถึง 9 ครั้งแม้มันอาจไม่ดีพอที่จะทำให้ อาร์เซน่อล คว้าชัยชนะได้ก็ตาม หลังจบครึ่งแรกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งทีมของ อาร์เตต้า แซงนำ 2-1 ได้อย่างน่าฮือฮา สถิติเผยว่า เรือใบสีฟ้า ครองบอลได้มากกว่าในสัดส่วน 66.6%:33.4% และได้ยิง 5 ครั้งเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ทีมเยือนได้ยิง 4 ครั้งเข้ากรอบ 2 ครั้ง อย่างไรก็ดี หลังลงเล่นในครึ่งหลังแค่ 10 ชีวิต สถิติหลังเกม 90 นาทีทำให้ อาร์เซน่อล เป็นรองลิบลับทั้งการครองบอล 77.6%:22.4% โดย แมนฯ ซิตี้ ได้ส่องยิงรวมกันเป็น 33 ครั้งเข้ากรอบ 11 ครั้ง ขณะที่ทีม ปืนใหญ่ ได้ยิงเพิ่มเป็น 5 ครั้งเข้ากรอบ 3 ครั้งโดยจำนวน 5 ครั้งที่ว่าเป็นสถิติที่แย่ที่สุดของ เดอะ กันเนอร์ส ในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ด้วย เท่ากับว่านับเฉพาะครึ่งหลัง ราย่า ต้องเผชิญกับจังหวะสับไกของ แมนฯ ซิตี้ มากถึง 28 ครั้งซึ่งถือเป็นสถิติสูงที่สุดร่วมเป็นอันดับสองของ พรีเมียร์ลีก เมื่อนับเฉพาะเกมในครึ่งเวลาเดียว แต่มือกาวสัญชาติกระทิงดุปล่อยให้บอลตุงตาข่ายแค่หนเดียวเท่านั้น แถมเป็นอึดใจสุดท้ายอีกต่างหากซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีสาวก ท็อปกัน คนไหนคาใจ หรือว่านึกถึง อาร่อน แรมสเดล อีกต่อไปแล้ว สำหรับประตูของ สโตนส์ ในนาทีที่ 98 กลายเป็นประตูที่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ในเวลาที่ล่าช้าที่สุดของพวกเขาเช่นกันในการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก 5. ขาด เดอ บรอยน์ (เกือบ) ขาดใจ แมนฯ ซิตี้ เริ่มเกมได้อย่างเลิศหรูก็จริงด้วยการออกนำก่อนจากประตูของ ฮาลันด์ แม้จะไม่มีจอมทัพอย่าง เดอ บรอยน์ ก็ตาม แต่ไม่เพียงดาวเตะทีมชาติ เบลเยี่ยม เท่านั้น ถัดมาในนาทีที่ 17 ของเกม เจ้าบ้านก็เสีย โรดรี้ มิดฟิลด์คนสำคัญที่บาดเจ็บอีกราย และต้องเปลี่ยนตัวออกไปให้ มาเตโอ โควาซิช ลงไปรับช่วงแทน เท่านั้นแหละ จากการคุมเกมในแดนกลางได้เหนือกว่าของ แมนฯ ซิตี้ พลิกผันไปเป็น อาร์เซน่อล ที่เริ่มเดินหน้าทำเกมรุกใส่อย่างต่อเนื่องชนิดไม่ยำเกรงแชมป์เก่าเลยแม้แต่น้อย และเห็นได้ชัดว่าสองห้องเครื่องอย่าง กุนโดกัน กับ โควาซิช ต้านทานแผงกลางที่เล่นได้อย่างห้าวหาญของทีมเยือนไม่อยู่ และส่งผลให้เสียไปสองประตูจาก คาลาฟิออเร่ ที่ซัดจากหน้าเขตโทษได้อย่างงดงาม ก่อนที่ กาเบรียล จะแผลงฤทธิ์โขกลูกเตะมุมไม่เหลือเป็นการงัดจุดแข็งของทีมออกมาใช้อย่างได้ผลอีกครั้ง หลังตกเป็นรองทีม ปืนใหญ่ มันชี้ให้เห็นว่าการขาดทั้ง เดอ บรอยน์ และ โรดรี้ ไปในคราวเดียวกันส่งผลกระทบต่อเกมในแดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ อย่างมหาศาล ไม่เพียงขณะมีนักเตะจำนวนเท่ากัน แต่ เรือใบสีฟ้า แทบทวงประตูคืนไม่ได้ด้วยแม้จะได้เปรียบจำนวนนักเตะตลอดครึ่งหลัง ทุกคนคงเห็นตรงกันว่าเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ไร้พิษสงไปโดยสิ้นเชิงหลังไม่มี เดอ บรอยน์ คอยบงการเกมหรือหาทางผ่านบอลในจังหวะทีเด็ดทีขาดทำลายเกมรับ 10 ชีวิตของ อาร์เซน่อล อีกทั้งการขาดลูกยิงจากแถวสองที่แม่นยำของมิดฟิลด์ทีมชาติ สเปน ก็เกือบทำให้ เรือใบสีฟ้า ล่มปากอ่าวอยู่รอมร่อ อย่างไรก็ดี เจ้าบ้านเอาตัวรอดไปได้กับการมี จอห์น สโตนส์ เป็นฮีโร่ แต่หากไม่ได้ประตูจากกองหลังทีมชาติ อังกฤษ มันก็จะเป็นเกมที่ 6 ของ พรีเมียร์ลีก ที่ เรือใบสีฟ้า ปราชัยนับตั้งแต่เดือนก.พ.2023 กับการปราศจากกองกลางทีมชาติ เบลเยี่ยม ลงเล่นเป็นตัวจริง ขณะเดียวกัน ประตูตีเสมอ 2-2 ของ สโตนส์ ยังช่วยให้ เรือใบสีฟ้า รอดพ้นจากความพ่ายแพ้คารังในเกม พรีเมียร์ลีก ด้วยโดยพวกเขาสามารถยืดสถิติยอดเยี่ยมนี้ได้ต่อไปนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2022 นอกจากนี้ อาร์เซน่อล ต้องเดินทางกลับลอนดอนด้วยอาการคอตกอย่างช่วยไม่ได้เนื่องจากพวกเขายังสะกดคำว่า "ชนะ" ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ได้อีกตามเคยนับตั้งแต่เดือนม.ค.2015 ซึ่ง อาร์แซน เวนเกอร์ เคยพาทีมบุกมากำราบ แมนฯ ซิตี้ ในยุคของ โรแบร์โต้ มันชินี่ 2-0 จากประตูของ ซานติ กาซอร์ล่า (ลูกโทษ) และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ (ลูกโหม่ง) |
|