|
15
พ.ค. เป็นทุกอย่างให้ปืนแล้ว,เรือเผาเล้าไก่! 5 ข้อ แมนฯ ซิตี้ บุกทุบ สเปอร์ส จ่อซิวแชมป์
แมนฯ ซิตี้ โชว์ความเก๋าเกมเอาชนะความกดดันได้สำเร็จด้วยการบุกมาคว่ำ สเปอร์ส ถึงสนาม ท๊อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 2-0 จากการลงเล่นศึก พรีเมียร์ลีก นัดรองสุดท้ายเมื่อวันอังคารที่ 14 พ.ค.เก็บไปอีกสามแต้มเต็มแซงนำ อาร์เซน่อล เป็นจ่าฝูงได้อีกหนโดยมีแต้มมากกว่า เดอะ กันเนอร์ส สองแต้มซึ่งหมายความว่าแชมป์เก่ากุมชะตาตัวเองอยู่ในมือได้แล้วก่อนตัดสินแชมป์กันในเกมปิดซีซั่นวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค. 1. ไก่โรเตชั่นสามตำแหน่ง สเปอร์ส ซึ่งประสบปัญหาขาด อีฟส์ บิสซูม่า กองกลางทีมชาติ มาลี ที่เดี้ยงตาม ริชาร์ลิซอน ดาวยิงทีมชาติ บราซิล ไปอีกรายปรับทัพสามตำแหน่งจากเกมลีกนัดเปิดบ้านสอยตาข่ายแซงชนะ เบิร์นลีย์ 2-1 เมื่อสุดสัปดาห์ อังเก้ ปอสเตโคกลู กุนซือชาวออสซี่ หวนกลับมาใช้งาน ราดู ดรากูซิน , โรดรีโก้ เบนตานกูร์ และ ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก เป็นตัวจริงอีกหน และดร็อป โอลิเวอร์ สคิปป์ กับ เดยัน คูลูเซฟสกี้ นั่งข้างสนาม ขณะที่ บิสซูม่า หลุดโผเนื่องจากเจ็บเข่า ก่อนเปิดบ้านต้อนรับ แมนฯ ซิตี้ สเปอร์ส อยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนักโดยแพ้เกมลีกสี่นัดติดต่อกัน และเสียประตูมากถึง 13 ลูกโดยยิงได้ 6 ลูกก่อนเฉือนชนะ เดอะ คลาเร็ตส์ ได้อย่างหวุดหวิดในเกมล่าสุด 2. เรือหวนใช้งานกัปตัน วอล์คเกอร์ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งชนะตลอดห้านัดหลังรวมทุกรายการโดยเสียไปแค่ประตูเดียว และยิงได้ 16 ประตูยืนพื้นใช้ขุมกำลังชุดเดิมที่ออกไปถล่ม ฟูแล่ม ยับเยิน 4-0 ยกเว้นแผงหลังตำแหน่งเดียวที่มีปัญหา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมสแปนิชเลือกส่ง ไคล์ วอล์คเกอร์ กัปตันทีมลงเล่นเป็นตัวจริงเนื่องจาก นาธาน อาเก้ บาดเจ็บจากเกมบู๊กับ เจ้าสัวน้อย อย่างไรก็ดี แม้จะหวั่นกันว่าสตาร์ทีมชาติ ฮอลแลนด์ จะเจ็บหนักหลังโดนเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่กลางครึ่งแรกให้ วอล์คเกอร์ ลงเล่นแทนที่ คราเวน คอตเทจ แต่กองหลังดัตช์มีชื่อเดินทางมากับทีมด้วยในฐานะตัวสำรอง ด้าน เอแดร์ซอน เฝ้าเสาให้ เรือใบสีฟ้า นัดนี้เป็นนัดที่ 250 พอดีสำหรับเกม พรีเมียร์ลีก โดยมือกาวทีมชาติ บราซิล เก็บคลีนชีตได้ 112 นัดจาก 249 นัดก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นผลงานที่ด้อยกว่านายทวารเพียงสองรายคือ ปีเตอร์ เช็ก (127) และ เปเป้ เรน่า (119) สำหรับนายด่านตาข่ายที่ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ครบ 250 นัดแรก 3. เกมแห่งความกดดัน อย่างที่รู้กันว่า แมนฯ ซิตี้ มีผลงานไม่สู้ดีในเกมบุกมาเยือน สเปอร์ส และโดยเฉพาะเกมนี้มีตำแหน่งแชมป์ลีกเป็นเดิมพันด้วยจึงทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เล่นกันด้วยความเกร็ง และไม่ได้เหนือกว่า ไก่เดือยทอง แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ขุนพล เรือใบสีฟ้า บางรายยังออกอาการเครียดให้เห็นอย่างชัดเจนอาทิ รูเบน ดิอาส ปราการหลังซึ่งทั้งจับบอลหลุดเท้าง่ายๆ และจ่ายบอลผิดทิศผิดทางเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อย่างไรก็ดี ถือว่าทีมเยือนยังโชคดีที่ไม่เสียหายในจังหวะที่กองหลังทีมชาติ โปรตุเกส เล่นพลาดเพราะอย่างที่รู้กันว่าหากกองหน้าเล่นพลาดยังมีโอกาสแก้ตัวใหม่ แต่กองหลังเล่นพลาดไม่ได้เด็ดขาดเพราะมีโอกาสเสียประตู แถมจะเป็นตราบาปให้กับตัวเองด้วย ฉะนั้นแล้ว แมนฯ ซิตี้ จึงเล่นแบบกล้าๆกลัวๆตลอด 45 นาทีแรก และไม่คิดบุ่มบ่ามผลีผลามกระทั่งเสมอกับ สเปอร์ส ไปแบบไร้สกอร์ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับพวกเขาโดยสถิติเผยว่าหลังจบครึ่งแรก ไก่เดือยทอง ครองบอลได้มากกว่า 54.7%:45.3% แต่ทั้งสองทีมได้ยิงประตู 3 หนเท่ากัน และเข้ากรอบ 1 ครั้งเท่ากัน 4. เดอ บรอยน์ ปลดล็อก ในที่สุด เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพคนสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ ก็เนรมิตประตูสำคัญให้ทีมอีกจนได้จากจังหวะผ่านบอลจากเส้นหลังด้านขวาให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เข้าฮอสเผาขนแบบง่ายดายเป็นประตูพา แมนฯ ซิตี้ ออกนำ 1-0 และทำให้ทีมเงินถังยกภูเขาออกจากอกโดยสามารถเล่นกันได้ด้วยความสบายใจที่มากขึ้นทันทีหลังจากนั้น นอกจากนี้ ต้องถือว่า เรือใบสีฟ้า ได้ประตูในช่วงเหมาะเหม็งซะด้วยสำหรับนาทีที่ 51 เพราะหากเกมยืดเยื้อเนิ่นนานไปมากกว่านี้โดยทีมเยือนยังเช็กบิลไม่สำเร็จ ความกดดันก็จะยิ่งถาโถมเข้าใส่พวกเขาหนักขึ้น ต่างกับ สเปอร์ส ที่แม้ต้องการสามแต้มเช่นกันเพื่อลุ้นอันดับท็อปโฟว์ แต่หากไม่เป็นแบบนั้นพวกเขาก็ยังวางใจได้ว่าน่าจะได้เล่นถ้วย ยูโรปาลีก แม้อาจต้องลุ้นต่อในเกมสุดท้าย หลังได้ประตูนำ ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ก็เล่นกันตามสูตรด้วยการเน้นครองบอลเอาไว้ และถ่ายบอลกันไปมาเพื่อไม่เปิดโอกาสให้ สเปอร์ส มีจังหวะทวงประตูคืนซึ่งทีมจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม ขึ้นชื่อในด้านนี้อยู่แล้วก่อนจะได้ เฌเรมี่ โดกู ตัวสำรองอาศัยความปราดเปรียวช่วยให้ทีมได้ลูกโทษในช่วงทดเวลาซึ่ง ฮาลันด์ สังหารไม่พลาดตอกตะปูปิดฝาโลง ไก่เดือยทอง ได้อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ดี เป็นเหมือนที่เห็นกันว่าช่วงท้ายซีซั่นแบบนี้ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ ต้องพยายามกำชัยทุกนัดในการลุ้นแย่งแชมป์กับ อาร์เซน่อล ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ก็เครียดเป็นเหมือนกันดังจะเห็นว่าหลายเกมหลังพวกเขาไม่ได้มีเปอร์เซนต์การครองบอลหลังจบ 90 นาทีเหนือกว่าคู่แข่งแบบขาดลอยเหมือนก่อนอีกต่อไป อย่างเกมบุกมาชนะ สเปอร์ส ก็เช่นกันที่สถิติหลังเกมเผยว่า ไก่เดือยทอง ยังครองบอลได้ดีกว่า 52.9:47.1% แถมหาโอกาสยิงได้มากกว่า เรือใบสีฟ้า ด้วยจากตัวเลข 10-8 ครั้ง แต่ทั้งสองทีมส่งบอลเข้ากรอบได้ 5 ครั้งเท่ากันซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร กวาร์ดิโอล่า ก็หาได้แคร์ไม่ในเมื่อทีมของเขาได้รับชัยชนะอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ซึ่งเป็นการบ่งบอกให้เห็นเช่นกันว่าทีมมหาเศรษฐีช่ำชองในเรื่องการคว้าผลลัพธ์ซึ่งยากที่ทีมอื่นจะเทียบเท่าได้ สำหรับ ฮาลันด์ หลังเหมาตะบันสองเม็ดในเกมนี้ กองหน้าทีมชาติ นอรเวย์ ก็เพิ่มผลงานสอยตาข่ายในเกม พรีเมียร์ลีก เป็น 63 ประตูจาก 65 นัดซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นนักเตะที่คลำเป้าในรายการนี้ได้มากที่สุดต่อสองซีซั่นแรกเหนือกว่า แอนดี้ โคล 8 ประตู 5. ออร์เตก้า ฮีโร่ตัวจริง ถึงตอนนี้น่าจะพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่า สเตฟาน ออร์เตก้า เป็นผู้รักษาประตูมือสองที่ดีที่สุดในโลกเนื่องจากเท่าที่ผ่านมาในทุกๆเกมที่เขาถูกส่งลงไปเฝ้าตาข่ายแทน เอแดร์ซอน นายทวารชาวเมืองเบียร์ไม่เคยทำให้สาวก แมนฯ ซิตี้ ต้องผิดหวังจากการโชว์ฟอร์มเซฟลูกยากได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้มือกาวนามกระเดื่องหน้าไหนทั้งนั้น กระทั่งเกมบุกมาเยือน สเปอร์ส ผู้รักษาประตูวัย 31 ปีได้ลงสนามแทนจอมหนึบทีมชาติ บราซิล ที่มีอาการบาดเจ็บจากจังหวะโดน คริสเตียน โรเมโร่ กองหลังเจ้าบ้านพุ่งเข้าอัดอย่างจัง และแม้เจ้าตัวจะลุกขึ้นมาเล่นต่อได้ แต่ กวาร์ดิโอล่า ไม่หวังให้ลูกทีมเสี่ยงเจ็บเพิ่ม และเปลี่ยนให้ ออร์เตก้า ลงเล่นแทนในช่วง 20 นาทีสุดท้ายจนทำเอา เอแดร์ซอน ออกอาการฟาดงวงฟาดงาด้วยมั่นใจว่าตัวเองยังเล่นต่อไหว จะอย่างไรก็เถอะ ออร์เตก้า พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่า เอแดร์ซอน สักเท่าไหร่ และสามารถเป็นที่พึ่งของทีมได้เสมอจากการเซฟลูกอันตรายให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เรียบวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสี่นาทีสุดท้ายซึ่ง เรือใบสีฟ้า น่าจะโดน ไก่เดืยทอง ตีเสมอเป็นที่สุดจากการเล่นที่เลินเล่อของ มานูเอล อคันจี ซึ่งส่งผลให้ ซน ฮึง มิน ได้ลูกจ่ายหลุดเดี่ยวเข้าไปสับไกชนิดที่กุนซือสแปนิชเข่าทรุดหงายท้องลงไปกับพื้นแล้วด้วยเชื่อว่า แมนฯ ซิตี้ โดนทวงสกอร์คืนแน่จากความผิดพลาดของลูกทีม แต่ ออร์เตก้า โชว์ซูเปอร์เซฟได้อีกตามเคยก่อนที่อีกอึดใจเดียว แชมป์เก่าจะมาได้ลูกโทษการันตีชัยชนะ 2-0 จากฝีเท้าของ ฮาลันด์ เจ้าเก่า |
|