26
ก.พ.
คล็อปป์ เสียสถิติจนได้,หงส์ยังมึนจากเกมหูใหญ่! 5 ข้อ ลิเวอร์พูล บุกเจ๊า พาเลซ จืดชืด


แบ่งแต้มกันไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่ก็เป็นไปอย่างจืดชืดสิ้นดีสำหรับเกม พรีเมียร์ลีก ซึ่ง ลิเวอร์พูล หมดลูกฮึดบุกมาทำได้แค่เสมอกับ คริสตัล พาเลซ 0-0 ในการฟาดแข้งที่สนาม เซลเฮิร์สต์ พาร์ค เมื่อวันเสาร์ที่ 25 ก.พ.

จากฟอร์มที่เห็น มันฟ้องว่า หงส์แดง ยังมึนไม่หายหลังโดน เรอัล มาดริด บุกมาถล่มแหลก 5-2 ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมนัดแรกเมื่อกลางสัปดาห์ และหากทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาก็มีสิทธิ์เจอกับซีซั่นที่ว่างเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย

1.พาเลซ ส่งทีมชุดเดิมรับแขก

คริสตัล พาเลซ ยังอยู่ในช่วงที่ปราศจาก วิลฟรีด ซาฮา สตาร์คนสำคัญที่ยิงไม่ฟิต และใช้งาน 11 นักเตะชุดเดิมที่บุกไปเสมอกับ เบรนท์ฟอร์ด 1-1

จึงเท่ากับว่า ดิ อีเกิ้ลส์ ส่ง ไทริค มิทเชลล์ ลงเล่นได้เนื่องจากเจ้าตัวฟิตมากพอที่จะออกสตาร์ตเป็นตัวจริง

2. ลิเวอร์พูล ไร้ นูนเญซ-โกเมซ

ลิเวอร์พูล มีปัญหาขาดทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ และ โจ โกเมซ ซึ่งบาดเจ็บมาจากเกมหูใหญ่ถึงขนาดไม่มีชื่อนั่งข้างสนามด้วยกันทั้งคู่

รวมแล้ว เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนโผตัวจริงรวมสี่รายโดย ดีโอโก้ โชต้า ที่หายเจ็บแล้วได้ออกสตาร์ตเป็นเกมแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนต.ค.

3. มิลเนอร์ 200

กลับมาลงสนามเป็นตัวจริงอีกนัดสำหรับ เจมส์ มิลเนอร์ ดาวเตะสารพัดประโยชน์รุ่นลายครามซึ่งเป็นการลงเล่นในโผ 11 คนแรกนัดที่ 200 ของเขากับ เร้ด แมชีน

ขณะเดียวกัน หากจะยึดถือตั้งแต่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทัพเมื่อเดือนต.ค.2015 ก็มีแค่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ (344นัด) คนเดียวที่ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล มากว่าคุณน้า มิลเนอร์ (308 นัด)

พร้อมกันนี้ อดีตดาวเตะทีม ลีดส์ , นิวคาสเซิ่ล , แอสตัน วิลล่า และ แมนฯ ซิตี้ ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก เป็นนัดที่ 605 แล้ว และเป็นรองแค่ แกเร็ธ แบร์รีย์ (653 นัด) ,ไรอัน กิ๊กส์ (632 นัด) และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด (609 นัด)

4. 90 นาทีที่น่าเบื่อหน่าย

กลายเป็นเกมที่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลยสักนิดหลังจาก ลิเวอร์พูล บุกมาทำได้แค่เสมอกับ คริสตัล พาเลซ 0-0 โดยที่สามารถบอกได้เลยว่าเกมในครึ่งแรก และครึ่งหลังที่ เซลเฮิร์สต์ พาร์ค เหมือนหนังม้วนเดียวกันเปี๊ยบเนื่องจากมันไม่มีความแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

ไม่ว่าจะเป็น หงส์แดง หรือว่า อินทรีผงาดฟ้า ที่ครึ่งแรกเล่นกันได้อย่างน่าง่วงแค่ไหน ครึ่งหลังก็ยังเป็นไปแบบเดิมโดยที่ไม่มีอะไรดีขึ้น

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล มีโอกาสสับไก 6 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ พาเลซ ได้ลุ้น 3 ครั้ง แต่ไม่เข้ากรอบเลย

จากนั้นหลังครบ 90 นาที ลิเวอร์พูล ได้ยิงรวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้งเพิ่มจากครึ่งแรกเป็นเท่าตัว ขณะที่ พาเลซ ได้กระทุ้งทั้งสิ้น 6 ครั้ง ไม่เข้ากรอบเลยซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกเป็นเท่าตัวพอดีเป๊ะเช่นกัน

จะมีที่เจ้าบ้านดีขึ้นก็เห็นจะเป็นการครองบอลซึ่งครึ่งแรกพวกเขาเป็นรอง 70:30% แต่หลังจบเกมทีมของ ปาทริค วิเอร่า ขยับตัวเลขขึ้นมาเป็น 64:36% แม้จะยังด้อยกว่าอาคันตุกะก็ตาม แต่ที่แน่ๆ เกมนี้ อลิสซง งานสบายกว่าใครที่ไม่ต้องออกแรงเซฟเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเป็นครั้งที่สามแล้วในซีซั่นนี้ที่ อินทรีผงาดฟ้า ส่งบอลเข้ากรอบทีมคู่แข่งไม่ได้เลยซึ่งไม่มีทีมไหนแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

5. คล็อปป์ แบ่งแต้มให้เจ้าถิ่นหนแรก

ในที่สุด เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือทีม ลิเวอร์พูล ก็หนีไม่พ้นต้องเสียแต้มแรกในเกมเยือนให้กับ คริสตัล พาเลซ จนได้ในช่วงเวลาที่สโมสรกำลังต้องการผลลัพธ์ที่ดีมาปลอบประโลมใจ

ก่อนหน้านี้กับการคุมทีมบุกมาเยือน อินทรีผงาดฟ้า ทำศึก พรีเมียร์ลีก เจ็ดนัด กุนซือด๊อยช์เป็นฝ่ายได้ชูกำปั้นอย่างสะใจในฐานะผู้ชนะแบบเต็มคาราเบล 100% ฟันแต้มไปแบบไม่เกรงใจเจ้าถิ่น 21 คะแนนเต็ม

และแน่นอนว่ามันเป็นสถิติสูงสุดของผู้จัดการทีมหนึ่งรายที่มีต่อคู่แข่งรายเดียวกันที่เขาไม่เสียแต้มให้เลยแม้แต่แต้มเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น จากเจ็ดนัดที่ว่า หงส์แดง ยิงประตู อินทรีผงาดฟ้า ได้มากถึง 22 ประตู และเสียไปแค่ 6 ประตูเท่านั้นซึ่งก็รวมถึงเกมยำใหญ่ 7-0 ในช่วงโควิดระบาดเดือนธ.ค.2020 ด้วย

กระทั่งในที่สุด คล็อปป์ มีอันต้องเสียสถิติจนได้ แต่มันเป็นเกมที่ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ไม่สมควรเป็นฝ่ายชนะเช่นกันจากฟอร์มที่ปรากฏให้เห็น

สยามกีฬา

© 2018-2024 Coreball.com All Rights Reserved.