28
ก.ย.
คริสเตียน เอริคเซ่น : จากช่วงเวลาที่เกือบตายสู่การเป็นฮีโร่ แมนยู และ เดนมาร์ก


ชีวิตบางครั้งก็เหมือนกับนิยาย เพราะใครจะไปคิดว่า คริสเตียน เอริคเซ่น จอมทัพชาวเดนมาร์ก จะสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อย่างสุดยอดอีกครั้ง ทั้ง ๆที่เมื่อ 15 เดือนก่อนเขาเกือบจะต้องเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

ย้อนกลับไปในศึกยูโร 2020 เกิดเหตุการณ์สุดช็อกกับ เพลย์เมกเกอร์ วัย 30 ปี เมื่อเขาหัวใจวายขณะรับใช้ชาติในเกมที่พบกับ ฟินแลนด์ โดยอาการป่วยในครั้งนั้นส่งผลให้เจ้าตัวต้องผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (ไอซีดี)

ที่สำคัญการที่เขาต้องใส่เครื่องไอซีดีทำให้ อินเตอร์ มิลาน จำเป็นต้องยกเลิกสัญญา เนื่องจากวงการลูกหนังประเทศอิตาลีมีกฎชัดเจนห้ามผู้เล่นที่ฝั่งเครื่องดังกล่าวลงเล่นในลีกเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม เบรนท์ฟอร์ด เปิดโอกาสครั้งใหม่ให้กับ เอริคเซ่น ด้วยการคว้าตัวเขามาร่วมทีมในเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยสัญญา 6 เดือนซึ่งนักเตะเล่นได้อย่างน่าประทับใจมากๆ และพอจบฤดูกาลที่ผ่านมา มีหลายสโมสรแสดงความสนใจอยากได้ตัวไปร่วมทัพ

สุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจคว้าตัว เอริคเซ่น มาร่วมทัพแบบฟรีเอเจ้นต์และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" ผิดหวังเมื่อเขาทำผลงานได้อย่างเฉิดฉาย ถึงขนาดได้รับเลือกเป็นแข้งยอดเยี่ยมสโมสรประจำเดือนกันยายนเลยทีเดียว

ลองมาดูเส้นทางจากชีวิตของ เอริคเซ่น นับตั้งแต่ตอนที่เกือบต้องลาโลกแต่ตอนนี้เขากำลังจะกลายเป็นคีย์แมนสำคัญของทีมชาติเดนมาร์กในศึกฟุตบอลโลก 2022

"ผมตายไปแล้ว 5 นาที"

ภาพจำที่แฟนบอลทั่วโลกเห็น เอริคเซ่น ร่วงลงไปนอนกองกับพื้นยังไม่มีใครลืมได้เลย โดยเหตุการณ์ตอนนั้นเกมต้องหยุดเล่นทันที ขณะที่ ซิมง เคียร์ กัปตันทีมรีบวิ่งเข้ามาช่วยชีวิตเขาก่อนที่ทีมแพทย์ได้เข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อยื้อชีวิตของเจ้าตัวเอาไว้

หลังจากนั้นนักเตะต้องเข้ารับการผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจเอาไว้ในร่างกาย โดย สตาร์แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมรับว่าในช่วงเวลานั้นตนได้จากโลกนี้ไปแล้ว 5 นาที "มันแปลกเพราะไม่คิดว่ามีคนมาส่งดอกไม้มาให้ เพราะผมตายไปแล้วห้านาที"

พร้อมสำหรับความท้าทายใหม่

สามวันหลังจากนั้น เอริคเซ่น ได้โพสต์ภาพชูนิ้วโป้งขณะอยู่ที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลโคเปนเฮเก้น และเป็นการยืนยันให้แฟนบอลได้รู้ว่าเขายังคงมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยนักเตะให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ยอมแพ้ และชีวิตนักเตะของเขายังไม่จบ

เพื่อที่จะมีโอกาสกลับมาลงสนามอีกครั้ง เจ้าตัวตัดสินใจผ่านตัดฝังเครื่องไอซีดี แต่การทำแบบนั้นในวงการฟุตบอลอิตาลีถือว่าห้ามทำเด็ดขาด เนื่องจากพวกเขาไม่ให้นักเตะคนไหนก็ตามลงสนามหากผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

จำใจต้องยกเลิกสัญญา

จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ อินเตอร์ มิลาน ไม่มีทางเลือกและจำใจต้องยกเลิกสัญญากับ เอริคเซ่น โดยนักเตะก็เข้าใจในเรื่องนี้เพราะมันเป็นกฎของวงการลูกหนังเมืองมะกะโรนี ทำให้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจแยกทางกันด้วยความยินยอมพร้อมใจ

งานนี้ทัพ "งูใหญ่" ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "สโมสรและครอบครัวเนรัซซูรี่ทั้งหมดขออวยพรให้ คริสเตียน พบกับสิ่งดีๆ ในอนาคต แม้ว่า อินเตอร์ กับ คริสเตียน แยกทางกันแล้วแต่ความผูกพันไม่เคยจางหาย"

"เรามีช่วงเวลาดีๆ, การยิงประตู, คว้าชัยชนะ และเฉลิมฉลองแชมป์สคูเด็ตโต้ร่วมกับแฟนๆ นอกสนามซาน ซิโร่ ทั้งหมดนี้จะยังคงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เนรัซซูรี่ตลอดกาล" แถลงการณ์ฉบับเดิม ระบุ

สู่ชีวิตใหม่กับเบรนท์ฟอร์ด

ในเดือนมกราคมปี 2022 เอริคเซ่น ได้หวนกลับมาสวมสตั๊ดเพื่อลงสนามอีกครั้งกับ เบรนท์ฟอร์ด โดย โธมัส แฟร้งค์ นายใหญ่ "ผึ้งน้อย" ซึ่งเคยทำงานร่วมกับเขาในระดับเยาวชนให้กับทีมชาติเดนมาร์ก เปิดใจว่า อดีตสตาร์ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ยังคงทำผลงานได้สุดยอด และมีความสุขที่ได้หวนกลับมาสู่บรรยากาศเกมลูกหนังอีกครั้ง "เรามีโอกาสดึงผู้เล่นระดับ เวิลด์ คลาส มาร่วมทีม เบรนท์ฟอร์ด เขาไม่ได้ลงทีมฝึกซ้อมมานาน 7 เดือน แต่ก็ยังทำงานอย่างหนัก หวังว่าเราจะสามารถเติมเต็มบทบาทใหม่ให้กับเบรนท์ฟอร์ด"

27 วันหลังจากนั้นมีการประกาศว่า "เดอะ บี้ส์" คว้าตัว เอริคเซ่น มาร่วมทัพด้วยสัญญาระยะสั้น งานนี้ดาวเตะชาวเดนท์ไม่ทำให้สโมสรผิดหวังเมื่อเล่นได้อย่างโดดเด่น และทำแอสซิสต์แรกให้กับทีมในเกมชนะ เบิร์นลี่ย์ ตามด้วยยิง 1 ประตูแมตช์ถลุง เชลซี ยิ่งไปกว่านั้นหากนับตั้งแต่วันแรกที่ลงสนามให้ เบรนท์ฟอร์ด จนกระทั่งจบซีซั่น มีแค่ เควิน เดอ บรอยน์ กับ มาร์ติน โอเดการ์ด เท่านั้น ที่สร้างโอกาสการทำประตูในเกมพรีเมียร์ลีกมากกว่าเขา

ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ

หลังจากจบฤดูกาลที่ผ่านมา เอริคเซ่น ตกเป็นเป้าการเสริมทัพของ สเปอร์ส ซึ่งเป็นต้นสังกัดเก่าของเจ้าตัวก่อนย้ายไปค้าแข้งกับ "เนรัซซูรี่" ขณะที่ เบรนท์ฟอร์ด ก็พยายามที่จะเกลี่ยกล่อมให้นักเตะอยู่ในถิ่นเวสต์ ลอนดอน ต่อไป สุดท้ายแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้มอบโอกาสทองที่แสนงดงามให้กับเจ้าตัว และแน่นอนว่าเขาตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญาเป็นลูกทีมของกุนซือเอริก เทน ฮาก ทันที

กระนั้นพอฤดูกาล 2022/2023 เปิดฉากดูเหมือน เอริคเซ่น จะโดนแซวสนั่น เพราะเจ้าตัวเล่นไม่ออกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะต้นสังกัดแพ้ให้กับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน และ เบรนท์ฟอร์ด ซึ่งแมตช์นี้เจ้าตัวโชว์ฟอร์มออกทะเล และมีส่วนทำให้ทีมเสียประตูจนแพ้ยับไม่นับญาติถึง 0-4 อย่างไรก็ตาม "ผีแดง" กลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ ตามด้วยสอย เซาธ์แฮมป์ตัน และ เลสเตอร์ ซิตี้ งานนี้บอกเลยว่า เอริคเซ่น โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม

นอกจากนี้เขายังช่วยให้ทีมจัดการปราบ อาร์เซน่อล จ่าฝูงด้วย โดยนักเตะโชว์ทักษะการผ่านบอลที่สุดเฉียบคมให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปซัดประตูตอกฝาโลง ซึ่งเกมนั้น แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแบ็กขวา "ผีแดง" เลือก เอริคเซ่น เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ เลยทีเดียว

ฟอร์มยังโดดเด่นเมื่อรับใช้ชาติ

ตอนนี้เป็นช่วง "ฟีฟ่า เดย์" และ เอริคเซ่น ก็ยังโชว์ฟอร์มสุดยอดกับ เดนมาร์ก ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าผลงานที่ผ่านมาของเขาไม่ได้ฟลุ้คอย่างที่บรรดากูรูหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ ในแมตช์ที่ชนะ ฝรั่งเศส ดีกรีแชมป์เก่าฟุตบอลโลก 2018 เจ้าตัวทำหน้าที่ในแดนกลางคอยคุมจังหวะเกมได้อย่างสุดยอด และสามารถสู้กับ 2 แข้งดาวรุ่งพุ่งแรงจากค่าย เรอัล มาดริด อย่าง เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า และ โอเรเลียง ชูอาเมนี่ ได้สบายๆ

สถิติในแมตช์ดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี โดย เอริคเซ่น มีโอกาสสัมผัสบอลถึง 80 ครั้ง และผ่านบอลจังหวะสำคัญได้สำเร็จ 8 ครั้ง เขาไม่เสียบอลเลยในจังหวะที่เลี้ยงลูก แถมยังเจ้าตัวยังมีส่วนในการสร้างเกมจนช่วยทำให้ทีมได้ประตูขึ้นนำ "ตราไก่" และตลอดทั้งเกม สตาร์ "ผีแดง" สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับทีมแชมป์โลก 2 สมัยได้อย่างต่อเนื่อง

คว้าแข้งยอดเยี่ยมแมนยูประจำเดือนกันยายน

บทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า เอริคเซ่น กลับมาสู่ฟอร์มที่สุดยอดอีกครั้ง นั่นก็คือที่เขาได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนก.ย.ของสโมสร โดยได้เสียงโหวตจากแฟนบอลถึง 62 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ เจดอน ซานโช่ ปีกทีมชาติอังกฤษ ตามมาเป็นอันดับสองที่ 28 เปอร์เซ็นต์ และ ราฟาเอล วาราน ปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศส ได้อันดับสาม 10 เปอร์เซ็นต์

ต้องยอมรับว่าผลงานของ เอริคเซ่น โดดเด่นอย่างมากเพราะเขาช่วยทำ 2 แอสซิสต์สำคัญให้กับทีมได้แก่ การผ่านบอลแบบถวายพานให้ แรชฟอร์ด หลุดเข้ายิงในเกมทุบ อาร์เซน่อล 31 และจ่ายบอลให้ เจดอน ซานโซ่ ตะบันประตูเบิกร่องในเกมชนะ เชริฟฟ์ 2-0 ศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก นอกจากนี้ยังมีส่วนในจังหวะสำคัญของทีมหลายต่อหลายครั้งด้วย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอล "ผีแดง" จะเทใจโหวตให้กับเขา

ทอมเม้ง

สยามกีฬา

© 2018-2024 Coreball.com All Rights Reserved.