|
5
พ.ค. ประวัติศาสตร์! มาห์เรซเบิ้ล-แมนซิตี้อัดเปแอสเช10คน ลิ่วชิงชปล.ครั้งแรก
"เรือใบสีฟ้า" ยังอยู่บนเส้นทางลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์! หลังงัดฟอร์มสุดยอดไล่อัด ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2-0 ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองฯนัดสอง เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดยเกมนี้ ริยาด มาห์เรซ เหมาคนเดียวสองประตู ส่วนเปแอสเชต้องเหลือแค่10คนหลัง อังเคล ดิ มาเรีย โดนไล่ออก ส่งผลให้ แมนฯซิตี้ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-1 โดยเข้าไปรอพบผู้ชนะระหว่าง เชลซี หรือเรอัล มาดริด ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ที่ อิสตันบูล ประเทศตุรกี สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดสอง เมื่อคืนวันอังคารที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก กลับมาเล่นในบ้านรับการมาเยือนของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง รองจ่าฝูงลีก เอิง โดยเกมแรก "เรือใบสีฟ้า" บุกไปเอาชนะมาได้ก่อน 2-1 กุมความได้เปรียบที่ผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้เป็นหนแรกประวัติศาสตร์สโมสร เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผลงานในลีกล่าสุดบุกไปอัด คริสตัล พาเลซ 2-0 เกมวันนี้ให้ โรดรี้ และชูเอา กานเซโล่ เป็นสำรอง ขณะที่สามแนวรุกใช้ ริยาด มาห์เรซ, เควิน เดอ บรอยน์ และ ฟิล โฟเด้น ด้าน เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เทรนเนอร์เปแอสเช เกมในลีกไล่ทุบ ล็องส์ มา 2-1 เกมนี้ไร้ อิดริสซ่า กาน่า เกย์ ที่ติดโทษแบน หลังโดนไล่ออกในนัดแรก อีกทั้ง คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ซึ่งมีอาการเจ็บในเกมลีกล่าสุดเกมนี้ออกสตาร์ทบนม้านั่งสำรองโดยให้ เมาโร อิการ์ดี้ ยืนหน้าเป้า โดยมี อังเคล ดิ มาเรีย และเนย์มาร์ ปั้นเกมรุกสนับสนุน เปิดฉากครึ่งแรกมา เปแอสเช โหมบุกอย่างหนักชนิดที่ เจ้าบ้านยังตั้งเกมไม่ได้เลย และนาทีที่ 7 "เรือใบสีฟ้า" ต้องมาเสียจุดโทษอย่างรวดเร็วหลังผู้ตัดสินเป่าเป็นจังหวะแฮนด์บอลของ ซินเชนโก้ ทว่าหลังได้รับสัญญาณจากวีเออาร์ แล้ววิ่งไปดูจอมอนิเตอร์ข้างสนาม ปรากฎว่าบอลไปโดนหัวไหล่ของ ซินเชนโก้ ทำให้ บียอร์น ไคเปอร์ส ผู้ตัดสินชาวฮอลแลนด์กลับคำตัดสินไม่ให้จุดโทษ และจังหวะบุกหนแรกของ ซิตี้ มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ทันทีในนาทีที่ 11 จากจังหวะที่ เอแดร์ซอน เปิดยาวขึ้นหน้า โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ที่วิ่งจากแดนตัวเองไม่ล้ำหน้าหลุดขึ้นไปทางซ้ายก่อนปาดเลียดมากลางประตูให้ เควิน เดอ บรอยน์ ซัดไปติดบล็อค อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ แต่บอลยังไปเข้าทาง ริยาด มาห์เรซ ซ้ำผ่านตัว เกย์ลอร์ นาวาส เข้าไปให้ แมนฯ ซิตี้ นำห่างด้วยประตูรวม 3-1 นาที 16 ปารีสฯ มาได้ลุ้นจากฟรีคิกนอกกรอบไม่ถึง 25 หลา ก่อนที่ เนย์มาร์ จะวิ่งมาปั่นติดแฟร์นันดินโญ่ที่ยืนกำแพงออกหลังไป และจากจังหวะเตะมุมของ ดิ มาเรีย เข้ามา มาร์กินญอส ขึ้นโขกบอลย้อนไปเสาแรก บอลไปตกบนคานอย่างน่าเสียดาย อีกสองนาทีถัดมา เอแดร์ซอน ออกบอลให้ แบร์นาร์โด้ ก่อนจับบอลพลาดไปเข้าทาง อังเคล ดิ มาเรีย ตัดบอลไปได้ก่อนจะปั่นด้วยซ้ายนอกกรอบถากเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย นาที 30 ลูกทีมของ เป๊ป ได้บอลตอบโต้ขึ้นมาอีกที คราวนี้ อิลคาย กุนโดกัน ไหลให้ เควิน เดอ บรอยน์ ซัดด้วยขวานอกกรอบบอลยังหลุดกรอบออกไป ช่วงทดเจ็บ นาที 45+1 มาห์เรซ ได้บอลหลุดเข้าไปซัดมุมแคบแต่ เกย์ลอร์ นาวาส ออกมาปิดเสาแรกก่อนใช้เข่าเซฟออกไปหวุดหวิด จบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 1-0 (สกอร์รวมสองนัด แมนฯซิตี้ นำ 3-1) กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 54 เรือใบสีฟ้า เกือบได้ลุ้นเม็ดที่สองหลัง เควิน เดอ บรอยน์ แทงบอลให้ ฟิล โฟเด้น หลุดเข้าไปซัดติดเซฟ เกย์ลอร์ นาวาส กระนั้นผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน นาที 63 เรือใบสีฟ้า ทะยานนำห่างเป็น 2-0 จากจังหวะสวนขึ้นมาทางซ้ายของ ฟิล โฟเด้น ลากเข้ามาแล้วฝากให้ เควิน เดอ บรอยน์ ก่อนวิ่งไปรับในก่อนแล้วปาดเลียดมาเสาไกลให้ ริยาด มาห์เรซ วิ่งมาแปโล่งๆยัดตาข่ายเข้าไป เป็นประตูที่สองของปีกทีมชาติแอลจีเรีย และให้ แมนฯซิตี้ นำห่างด้วยสกอร์รวม 4-1 สถานการณ์ของ เปแอสเช แย่งหนักไปอีกหลังต้องมาเหลือแค่ 10 คน เมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย ไปเล่นนอกเกมใส่ แฟร์นันดินโญ่ ก่อนเจ้าตัวจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป นาที 77 โฟเด้น ที่เกมนี้เล่นได้โดดเด่นเกือบมีชื่อบนสกอร์บอร์ด หลังได้โอกาสซัดด้วยซ้ายไปทางเสาไกลแต่บอลไปชนโคนเสาด้านนอกออกหลังอย่างน่าเสียดาย อีกสามนาทีถัดมา โฟเด้น ได้ยิงอีกครั้งแต่บอลก็ไปเข้ามือ นาวาส ช่วงเวลาที่เหลือ เปแอสเช ไม่สามารถเจาะแนวรับเจ้าถิ่นได้ จบเกม แมนฯซิตี้ เอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2-0 สกอร์รวมสองนัดเอาชนะไปได้ 4-1 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยเข้าไปรอพบผู้ชนะระหว่าง เชลซี หรือเรอัล มาดริด ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ที่ อิสตันบูล ประเทศตุรกี รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส - ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, รูเบน ดิอ๊าส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ - แบร์นาร์โด้ ซิลวา (ราฮีม สเตอร์ลิง น.82), แฟร์นันดินโญ่, อิลคาย กุนโดกัน - ริยาด มาห์เรซ, เควิน เดอ บรอยน์ (กาเบรียล เชซุส น.82), ฟิล โฟเด้น (เซร์คิโอ อเกวโร่ น.85) เทรนเนอร์ : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปแอสเช (4-2-3-1) : เกย์ลอร์ นาวาส - อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ (โกแล็ง ดักบา น.75), มาร์กินญอส, เปรสแนล คิมเปมเบ้, อับดู ดิยัลโล่ (มิเชล บักเกอร์ น.83) - อันเดร์ เอร์เรร่า, เลอันโดร ปาเรเดส (ดานิโล่ น.75) - อังเคล ดิ มาเรีย (ใบแดง น.69), มาร์โก แวร์รัตติ, เนย์มาร์ - เมาโร อิการ์ดี้ เทรนเนอร์ : เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ผู้ตัดสิน : บียอร์น ไคเปอร์ส (ฮอลแลนด์) |
|