|
12
มี.ค. อาเดรียนแจกโชค-ตราหมีรัวแซงต่อเวลาฯลิ่ว8ทีมชปล.
แชมป์เก่า ลิเวอร์พูล มีอันต้องกระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม จะยิงให้ทีม 1-0 ในเวลา แต่ช่วงต่อเวลาพิเศษเจอทีเด็ดของ มาร์กอส ยอเรนเต้ ที่เหมาสองประตู และปิดท้ายที่ อัลบาโร่ โมราต้า ช่วยให้ "ตราหมี" ทำแสบบุกมาอัดหงส์แดง 3-2 สกอร์รวม 2 นัด 4-2 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา สนาม : แอนฟิลด์ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง แชมป์เก่ารายการนี้อย่าง ลิเวอร์พูล กลับมาเฝ้ารังรับการมาเยือนของ แอตเลติโก มาดริด โดยผลการแข่งขันนัดแรกเป็นฝั่ง "ตราหมี" ที่ตุนสกอร์กุมความได้เปรียบไว้ก่อน 1-0 เจอร์เก้น คล็อปป์ เกมนี้ข่าวดีคือได้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับมาคุมกลาง โดยมีสามแนวรุกตัวเก่งเหมือนเดิมทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่ ขณะที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เปลี่ยนหน้าคู่จากเกมแรกมาใช้ตัวหลักอย่าง ชูเอา เฟลิกซ์ และดีเอโก้ คอสต้า โดยมี ซาอูล ญิเกซ กัปตันทีมซึ่งซัดประตูชัยในเกมแรกคอยบัญชาเกมแดนกลาง ออกสตาร์ทครึ่งแรกมาได้แค่ 10 วินาที "ตราหมี" เกือบได้ลุ้นประตูขึ้นนำก่อน หลัง ชูเอา เฟลิกซ์ จ่ายตัดหลังให้ ดีเอโก้ คอสต้า หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปซัดด้วยขวามุมแคบบอลหลุดกรอบเข้าข้างตาข่ายแค่ได้เสียว นาทีที่ 5 ลิเวอร์พูล ได้โอกาสลุ้นบ้างหลัง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ครอสบอลมากลางประตูให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม เทกตัวขึ้นโขกแต่บอลไม่แรงพอก่อนไปเข้ามือ ยาน โอบลัค กลายเป็น "หงส์แดง" ที่คุมเกมได้อยู่หมัด นาที 10 โม ซาลาห์ หักเข้ากลางก่อนปั่นด้วยซ้ายเหินข้ามคาน อีกนาทีถัดมา ซาลาห์ จ่ายให้กัปตันเฮนโด้ลองยิงจากแถวสองดูบ้างแต่บอลก็หลุดกรอบออกไป นาที 14 เจ้าถิ่นพลาดโอกาสขึ้นนำอีกครั้ง คราวนี้เป็นจังหวะเติมขึ้นมาของ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ซัดด้วยขวาเสาแรกสุดแรงแต่บอลยังไม่ผ่านตัว ยาน โอบลัค นาที 21 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดเตะมุมมากลางประตูให้ ซาดิโอ มาเน่ เทกตัวโขกไปติดหัว เรนาน โลดี้ ก่อนบอลจะเกือบมาถึง ฟาน ไดค์ ที่ยืนรอเสาสองแต่ดีที่แนวรับตราหมีเคลียร์สกัดออกไปได้พ้น นาที 34 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แย่งบอลมาจาก เรนาน โลดี้ ได้ก่อนดีดไซด์ก้อยเข้ากลางให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาแปด้วยขวาแต่บอลยังไปตรงตัว ยาน โอบลัค อีกสองนาทีถัดมา "หงส์แดง" ชวดโอกาสขึ้นนำอีก เมื่อไอ้หนูเทรนท์ครอสมาเสาแรกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พุ่งชาร์จบอลเปลี่ยนทางจะเข้าประตูอยู่แล้วแต่ โอบลัค ยังเหนียวเซฟด้วยมือเดียวออกไปได้ แต่แล้ว นาที 43 แฟนเดอะ ค็อปต้องเฮกันลั่นทั่วแอนฟิลด์ หลัง "หงส์แดง" มาได้ประตูที่ต้องการขึ้นนำ 1-0 บอลจาก อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ครอสบอลมากลางประตูให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ขึ้นเทกโขกบอลลงพื้นหนีมือ ยาน โอบลัค เข้าไปอย่างเด็ดขาด ทำให้สกอร์รวมตอนนี้เสมอกัน 1-1 จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ แอตเลติโก มาดริด 1-0 (สกอร์รวม2นัด 1-1) * สถิติครึ่งแรก โอกาสยิง (เข้ากรอบ) - ลิเวอร์พูล 11 (5) VS แอต.มาดริด 2 (0) กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 48 แฟนเจ้าถิ่นกือบได้เฮอีกหลัง จอร์จินโย่ ไวนัลดุม วางบอลยาวมาให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พักบอลลงก่อนเอี่ยวตัวยิงด้วยซ้ายแต่บอลยังไปตรงตัว ยาน โอบลัค อีกสองนาทีต่อมา แชมเบอร์เลน เปิดยาวไปเสาไกลให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาวอลเลย์ด้วยซ้ายไปติดเซฟของนายด่านสโลวีเนียอีก แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าไปก่อน แชมเบอร์เลน ที่วันนี้เล่นได้โดดเด่นในแดนกลาง เกือบพังประตูที่สองให้เจ้าบ้านอีก หลัง นาที 54 ต้องป้อมซัดนอกกรอบ บอลพุ่งเลียดจน ยาน โอบลัค ต้องพุ่งเซฟปัดมือเดียวออกไปอีก นาที 56 ซิเมโอเน่ แก้เกมก่อนเลยถอนเอา ดีเอโก้ คอสต้า ออกแล้วส่ง มาร์กอส ยอเรนเต้ ลงไปปั้นเกมแทน และแค่ไม่กี่วินาทีในสนาม ยอเรนเต้ ลงมาถึงก็จ่ายให้ ชูเอา เฟลิกซ์ ซัดนอกกรอบแต่ยังดีที่ไม่แรงไปเข้ามือ อาเดรียน นาที 60 เดอะ ค็อป เกือบเงียบกันกริบอีก หลัง ซาอูล ญิเกซ แทงบอลสวนกลับอย่างแม่นให้ เฟลิกซ์ หลุดเข้าไปอัดด้วยขวาบอลพุ่งตกพื้นจน อาเดรียน รับไม่อยู่ ก่อนกระฉอกมาเข้าทาง กอร์เรอา ที่ตามซ้ำแต่ อาเดรียน ยังพุ่งมาบล็อคได้ทัน นาที 66 "หงส์แดง" ชวดได้ประตูนำห่างแบบสุดๆ หลัง ซาลาห์ ตักบอลไปเสาสอง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สอดเข้ามาโหม่งแต่บอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย เจ้าถิ่นออกอาวุธได้เด็ดดวงกว่า นาที 69 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เก็บตกแถวสองก่อนตะบันด้วยขวาเต็มแรงจน โอบลัค ต้องปัดออกไป บอลมาเข้าทาง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ตามมาซ้ำด้วยซ้ายแต่ยังไปติดบล็อค คีแรน ทริปเปียร์ ท้ายเกมเจ้าบ้านโหมบุกใส่เป็นชุด นาที 85 ซาดิโอ มาเน่ ยิงท่ายากตีลังกาซัดด้วยขวาเหินคานออกไป ถัดมาอีกสองนาที โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ปั่นด้วยซ้ายอีกแต่บอลก็หลุดกรอบออกไปแบบได้เสียว ช่วงทดเจ็บ นาที 90+1 ซาลาห์ ได้หวดด้วยซ้ายในกรอบอีกทีแต่คราวนี้ก็ยังไม่ผ่าน ยาน โอบลัค นาที 90+3 โอกาสลุ้นหนสุดท้ายเป็นของ "ตราหมี" คราวนี้ได้ฟรีคิกทางมุมซ้าย เรนาน โลดี้ เปิดโค้งไปเข้าหัว ซาอูล ญิเกซ โขกตัวตุงตาข่าย ทว่า ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ และแข้งตราหมีต้องดีใจกันเก้อเมื่อเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อนแล้วของ ญิเกซ จบการแข่งขัน ลิเวอร์พูล เฉือนเอาชนะ แอต.มาดริด 1-0 ทำให้สกอร์รวมสองนัดเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที ช่วงต่อเวลาฯ นาที 94 ลิเวอร์พูล มาได้ประตูนำห่าง 2-0 จนได้ ไวนัลดุม ครอสมากลางประตูให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โขกไปชนเสาแต่บอลยังกระดอนมาเข้าเท้า ฟีร์มีโน่ ยิงซ้ำด้วยขวาเข้าไปอีกที เป็นประตูแรกในแอนฟิลด์ซีซั่นนี้ของดาวยิงทีมชาติบราซิล แต่แฟนหงส์ดีใจได้ไม่นาน อีกสองนาทีต่อมา อาเดรียน มาออกบอลพลาดออกบอลไปเข้าทาง ชูเอา เฟลิกซ์ ก่อนสตาร์ค่าตัวสถิติสโมสรจะจ่ายขึ้นหน้าให้ มาร์กอส ยอเรนเต้ หลุดเข้าไปซัดด้วยขวาหนีมือ อาเดรียน เสียบเสาไกล สกอร์ไล่มาเป็น 1-2 ทว่าประตูรวมแม้เสมอกัน 2-2 แต่ แอต.มาดริด ได้เปรียบเรื่องประตูทีมเยือน เท่านั้นไม่พอ แนวรับ ลิเวอร์พูล มาพลาดอีก นาที 105 "ตราหมี" สวนกลับเร็ว อัลบาโร่ โมราต้า หลุดไปทางขวาแล้วจ่ายเข้ากลางมาให้ มาร์กอส ยอเรนเต้ เลี้ยงจี้หน้ากรอบแล้วปั่นเสาแรกหนีมือ อาเดรียน เข้าไปอย่างสวยงามให้ แอต.มาดริด ไล่ตีเสมอ 2-2 แต่สกอร์รวมนำห่างเป็น 3-2 โดย "หงส์แดง" ต้องยิงถึง 2 ลูกเพื่อผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไป ทว่าช่วงนาทีที่ 120 โมราต้า หลุดเข้าไปซัดเสาแรกหนีมือ อาเดรียน เข้าไปทำให้ ตราหมีขึ้นนำ 3-2 ก่อนที่ผู้ตัดสินจะเป่าจบเกม ทำให้รวมผล 2 นัด "ตราหมี" ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยประตูรวม 4-2 รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ฟาบินโญ่ น.105), อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (เจมส์ มิลเนอร์ น.82), จอร์จินโย่ ไวนัลดุม (ดิว็อค โอริกี้ น.105) - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (ทาคูมิ มินามิโนะ น.113), ซาดิโอ มาเน่ เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์ แอตเลติโก มาดริด (4-4-2) : ยาน โอบลัค - คีแรน ทริพเพียร์ (ซิเม เวร์ซัลจ์โก้ น.90), สเตฟาน ซาวิช, เฟลิเป้, เรนาน โลดี้ - ซาอูล ญีเกซ, โธมัส ปาร์เตย์, โกเก้, อังเคล กอร์เรอา (โชเซ่ ฆิเมเนซ น.105) - ชูเอา เฟลิกซ์ (อัลบาโร่ โมราต้า น.103), ดีเอโก้ คอสต้า (มาร์กอส ยอเรนเต้ น.56) เทรนเนอร์ : ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ผู้ตัดสิน : ดานนี่ มัคเคลี่ (ฮอลแลนด์) |
|