|
24
ม.ค. ลิเวอร์พูลเฉือนวูล์ฟส์ทิ้งเรือ16แต้มพร้อมสถิติไร้พ่ายเกมลีก40นัดติด
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ สวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยช่วย "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล บุกเฉือน "หมาป่า" วูล์ฟแฮมป์ตัน ไปแบบหืดขึ้นคอ 2-1 ส่งผลให้หงส์แดงทำแต้มทิ้งห่างแมนซิตี้รองฝูงถึง 16 คะแนนแล้วพร้อมกับจดสถิติไม่แพ้ในเกมลีกติดต่อกันเป็นนัดที่ 40 อีกด้วย ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563 วูล์ฟแฮมป์ตัน 1 - 2 ลิเวอร์พูล สนาม : โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม นาทีที่ 7 ลิเวอร์พูล ได้ลูกฟรีคิกระยะประมาณ 19 หลาบริเวณหน้ากรอบเขตโทษเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ วิ่งเข้ามาซัดด้วยเท้าซ้ายแต่บอลกลับไปติดตัวแข้งวูล์ฟส์ที่ยืนตั้งกำแพงอยู่กระดอนออกหลัง แต่แล้วจังหวะต่อมาจากลูกเตะมุมนาทีที่ 8 ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 เมื่อ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดบอลไปเข้าหัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่วิ่งสอดเข้ามาโขกเต็มหัวบอลพุ่งผ่านมือ รุย ปาตริซิโอ นายด่านหมาป่าที่พยายามเอื้อมมือรับแต่ไม่ถึงเข้าไปไม่เหลือซาก นาทีที่ 11 วูล์ฟส์ ได้ลุ้นทวงประตูคืนเมื่อ แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ วิ่งตัดแผงแนวรับหงส์แดงหลุดเข้าไปโหม่งเล่นทางเหน่งๆ บอลลอยโด่งย้อยหลุดออกเสาไกลไปนิดเดียว นาทีที่ 18 ทัพหงส์แดงหวิดได้ประตูที่สองเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้โอกาสซัดจ่อๆ ในเขตโทษวูล์ฟส์ เจ้าตัวพยายามยิงหักข้อเล่นทางแต่ดันไปติดตัวผู้เล่นเจ้าถิ่นกระดอนออกไปอย่างน่าเสียดาย เลยมาถึงนาทีที่ 30 เจ้าบ้านทำเกมขึ้นมาทางฝั่งซ้ายที่ ราอูล ฮิเมเนซ ส่งต่อให้ จอนนี่ กาสโตร พยายามกระชากพาบอลจี้เข้าไปในเขตโทษลิเวอร์พูลแต่กลับถูก เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ใช้ความใหญ่และเหลี่ยมบอลที่ดีกว่าบังบอลออกไป นาทีที่ 32 ลิเวอร์พูล เปลี่ยนผู้เล่นคนแรกโดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง ทาคูมิ มินามิโนะ ดาวเตะเลือดซามูไรลงมาเล่นแทน ซาดิโอ มาเน่ ที่มีอาการบาดเจ็บถึงขนาดที่เจ้าตัวส่งสัญญาณมาที่ข้างสนามว่าเล่นต่อไปใหว นาทีที่ 38 เจ้าบ้านที่รูปเกมไม่เป็นรองได้ลุ้นอีกครั้งเมื่อ ราอูล ฮิเมเนซ พาบอลลากจี้เข้าไปในเขตโทษทางฝั่งซ้ายก่อนตัดสินใจยิงหักข้อไปที่เสาแรกแต่บอลกลับไหลหลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย ลิเวอร์พูลเกือบได้เฮอีกครั้งช่วงทดเวลานาทีที่ 45+2 เมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โชว์ความสามารถเฉพาะตัวกระชากพาบอลจากทางฝั่งขวาเข้าไปกดด้วยเท้าซ้ายบริเวณกลางกรอบเขตโทษแต่กลับไปติดขาแข้งวูล์ฟส์ที่ตามมาล้มตัวสกัดเอาไว้ได้ จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล บุกมานำ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-0 มาลุ้นกันต่อครึ่งเวลาหลังทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเพิ่มเติม นาทีที่ 47 หงส์แดงหวิดบอกสกอร์เพิ่มเมื่อ ซาลาห์ ตัดบอลได้จาก อดาม่า ตราโอเร่ หน้ากรอบเขตโทษวูล์ฟส์แล้วหลุดเข้าไปกดเต็มข้อด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งแรงทำท่าจะเสียบเสาไกลแต่ยังดีที่ รุย ปาตริซิโอ พุ่งปัดบอลไว้ได้ด้วยปลายมือพ้นเขตอันตรายออกไป นาทีที่ 51 ลิเวอร์พูลที่บุกเพลินๆ กลับโดยยิงตีเสมอเป็น 1-1 จากจังหวะโต้กลับไวของวูล์ฟแฮมป์ตัน บอลเลยไปถึง ราอูล ฮิเมเนซ ใช้ความเร็วกระชากลากจี้เข้าหาก่อนส่งต่อไปให้ อดาม่า ตราโอเร่ ทางฝั่งขวาแล้วเปิดบอลโด่งยัดเข้าไปที่จุดนัดพบให้ ฮิเมเนซ ที่วิ่งตามมาขวิดบอลเล่นทางเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงามหมดปัญญาที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่พยายามพุ่งสุดตัวจะรับได้ นาทีที่ 56 มีใบเหลืองแรกเกิดขึ้นเป็นของฝั่งลิเวอร์พูลโดย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไปตัดฟาวล์ใส่ อดาม่า ตราโอเร่ ทางริมเส้นฝั่งขวาที่กำลังพาบอลหลุดเข้าไปเปิดบอล ทำให้ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ไม่รอช้าควักใบเหลืองแจกใส่ โรเบิร์ตสัน ทันที ครบหนึ่งชั่วโมงพอดีทัพหงส์แดงได้ลุ้นจากจังหวะต่อบอลไปถึง ซาลาห์ ทางฝั่งขวาแล้วไหลย้อนมาให้ มินามิโนะ ที่เอี้ยวตัวกดเต็มข้อด้วยเท้าขวาระยะประมาณ 25 หลาบอลไปติดแข้งเจ้าถิ่นกระดอนไปเข้าทาง ฟีร์มีโน่ ที่ยืนอยู่ในเขตโทษเจ้าตัวตัดสินใจยิงทันทีแต่ด้วยน้ำหนักที่เบาเกินไปทำให้บอลไหลเข้ามือ ปาตริซิโอ นายด่านวูล์ฟส์รับไว้ไร้ปัญหา นาทีที่ 65 ลิเวอร์พูล รอดพ้นการเสียประตูไปอย่างหวุดหวิดเมื่อ อดาม่า ตราโอเร่ ดาวยิงกล้ามใหญ่ของเจ้าถิ่นได้โอกาสกดเต็มข้อในเขตโทษทางฝั่งขวาบอลพุงแรงทำท่าจะเสียเสาไกลแต่ถูกปฏิเสธโดย อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่ลอยตัวปัดไว้ได้ด้วยปลายมือ สามนาทีถัดมาทัพหมาป่าน่าได้ประตูแซงขึ้นนำเมื่อ ราอูล ฮิเมเนซ หลุดเข้าไปดวลเดียวกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ ก่อน ฮิเมเนซ ตัดสินใจซัดยัดมุมแคบบอลพุงไปถูกหน้า เบ็คเกอร์ กระดอนออกไปพ้นเขตอันตรายเรียกได้ว่าหน้าสั่นกันเลยทีเดียว นาทีที่ 70 ลิเวอร์พูลโต้กลับขึ้นมาบ้าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ส่งบอลไปให้ ซาลาห์ กระชากตัดแนวเส้นกรอบเขตโทษแล้วพยายามหวดหักข้อด้วยเท้าซ้ายในแบบฉบับลูกเก่งของเจ้าตัวแต่ทิศทางยังคงไม่ได้บอลหลุดออกข้างเสาประตูไปอีกครั้ง และนั่นเป็นจังหวะสุดท้ายของ แชมเบอร์เลน เพราะเขาถูกเปลี่ยนตัวออกโดยส่ง ฟาบินโญ่ ลงมาเล่นแทน นาทีที่ 74 วูล์ปแฮมป์ตันสวนกลับไว อดาม่า ตราโอเร่ ได้บอลจากครึ่งสนามก่อนโชว์ความแข็งแกร่งกระชากเดียวฉีกหนี ฟาน ไดค์ ที่ยืนรับอยู่ตัวสุดท้ายแล้วได้จบด้วยการยิงหน้ากรอบเขตโทษหงส์แดงแต่ ตราโอเร่ ทรงตัวไม่ดีทำให้บอลที่ยิงทิศทางไม่ได้หลุดออกหลังไปกลายเป็นลูกตั้งเตะจากประตูของฝั่งหงส์แดง นาทีที่ 82 หงส์แดง เกือบได้ประตูขึ้นนำเมื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หลุดเดี่ยวเข้าไปซัดทางฝั่งซ้ายแต่ไม่ผ่าน รุย ปาตริซิโอ ที่ยังล้มตัวใช้เท้าป้องกันบอลออกไปได้ สองนาทีถัดมา ลิเวอร์พูล กลับขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 จากจังหวะพยายามกระชากบอลของ ซาลาห์ หน้ากรอบเขตโทษแต่ไม่พ้นบอลไหลมาเข้าทาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีเจ้าตัวไม่รอช้าส่งต่อให้ ฟีร์มีโน่ หลุดเข้าไปแต่งบอลด้วยเท้าขวาแล้วกระชากหนีแผงหลังวูล์ฟส์ก่อนกดเต็มข้อด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งเสยเข้าใต้คานไม่เหลือซาก จังหวะถัดมา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ใช้โอกาสเปลืองและฟอร์มปิดสกอร์ไม่ดีในเกมนี้ถูกเปลี่ยนออกโดย ดิว็อค โอริกี้ ได้ลงมาวาดลายแข้งในช่วงท้ายเกม ช่วงทดเวลานาทีที่ 90+3 วูล์ฟส์ พลาดได้ประตูตีเสมอไปอย่างน่าเสียดาย ฮิเมเนซ พักบอลลงด้วยอกในเขตโทษฝั่งหงส์แดงก่อนถวายพานไปให้ ดิโอโก้ โจต้า ได้ยิงระยะไม่ถึง 10 หลาแต่เจ้าตัวดันหวดไม่ดีส่งผลให้บอลเหินข้ามคานไปไกล หมดเวลาการแข่งขัน ลิเวอร์พูล บุกมาเฉือนชัยเหนือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ไปแบบหืดขึ้นคอ 2-1 หงส์แดงยังเดินหน้าทำสถิติไร้พ่ายเกมลีกต่อไปและกลายเป็นทีมที่ 5 ที่ไม่แพ้ติดต่อกันในเกมลีก 40 นัด และสามแต้มในนัดนี้ทำให้ลิเวอร์พูลจ่าฝูงมีเพิ่มเป็น 67 คะแนนโดยทิ้งห่างอันดับสอง "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี้ ที่มี 51 คะแนนถึง 16 แต้มแถมยังแข่งน้อยกว่าอยู่อีก 1 นัดอีกด้วย รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม วูล์ฟแฮมป์ตัน (3-4-1-2) : รุย ปาตริซิโอ - คอนอร์ เคาดี้, โรแม็ง ซาอิสส์, เลอันแดร เดนดองเกอร์ - รูเบน เนเวส, ชูเอา มูตินโญ่ (มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ น.87), จอนนี่ กาสโตร, แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ - เปโดร เนโต้ (ดิโอโก้ โจต้า น.77) - อดาม่า ตราโอเร่, ราอูล ฮิเมเนซ ผู้จัดการทีม : นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (ฟาบินโญ่ น.70), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม - โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ดิว็อค โอริกี้ น.85),ซาดิโอ มาเน่ (ทาคูมิ มินามิโนะ น.32), โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้ตัดสิน : ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ |
|