3
ธ.ค.
เทพีแห่งโชคสีแดง : ชำแหละ 5 ประเด็นลิเวอร์พูลดวงเฮงชนะเอฟเวอร์ตัน



ลิเวอร์พูล ยังดวงเฮงมีโชคที่สามารถเก็บชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา งานนี้ต้องยอมรับว่าเทพีแห่งโชคสวมชุด "สีแดง" เพราะใครจะไปคิดว่าประตูชัยสุดประหลาดจะเกิดขึ้นในช่วงวินาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ

ไม่เชื่อลองไปดูภาพรีเพลย์ในจังหวะดังกล่าว จะเห็นชัดว่า เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เตะบอลแบบขอไปทีและวิ่งหันหลังกลับไปด้วยความผิดหวัง แต่ตอนนั้น จอร์แดน พิคฟอร์ด นายด่านระดับทีมชาติอังกฤษ ดันนึกอะไรไม่ทราบเมื่อปัดบอลไปชนคาน ทำให้ ดิว็อค โอริกี้ ได้รับส้มเข่งโต ทำประตูชัยน่าตาเฉย

แถม เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ยังทำตัวสุดมันด้วยการวิ่งเข้าไปในสนามแสดงความดีใจกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตู ชนิดที่ไม่เกรงคู่อริร่วมเมือง และอาจนำไปสู่บทลงโทษของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ ด้วย

จริงๆ แล้วแมตช์นี้ทั้งสองทีมมีโอกาสที่จะทำประตูกันพอสมควรทั้งจาก ซาดิโอ มาเน่, อันเดร โกเมส, เซอร์ดาน ชากีรี่ และ ธีโอ วัลค็อตต์ แต่ทั้งหมดนี้พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนที่ซูเปอร์ฮีโร่จะกลายเป็นตัวสำรองอย่าง โอริกี้ และผู้โชคร้ายในแมตช์นี้ก็คือ พิคฟอร์ด !!

1. สองโกล์ทำได้ดี แต่โชคร้ายอยู่ที่ พิคฟอร์ด
นายทวารทั้งสองทีมมีค่าตัวรวมกันแล้วกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 4,300 ล้านบาท) และพวกเขาก็แสดงผลงานได้คุ้มค่าทุกเพนนีสำหรับศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ที่สนามแอนฟิลด์ จนกระทั่งช่วงวินาทีสุดท้าของการทดเวลาบาดเจ็บกับประตูที่สุดพิศดาร

เกมนี้น่าจะจบลงด้วยสกอร์ 2-2 และอย่างน้อยทั้งสองทีมควรจะได้ประตูในครึ่งแรกหากไม่ใช่เพราะความสุดยอดของนายทวารทั้งฝั่ง "หงส์แดง" และ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" โดย อลิสซง โชว์ฟอร์มสุดหนึบในจังหวะที่ อันเดร โกเมส ทิ้งตัวโหม่งบอลจ่อๆ ก่อนที่ โจ โกเมซ จะมาสกัดบอลออกจากเส้นประตูอย่างหวุดหวิด

จากนั้น พิคฟอร์ด ขอโชว์ความสุดยอดด้วยการปฏิเสธจังหวะหลุดเดี่ยวของ เซอร์ดาน ชากีรี่ นั่นทำให้ครึ่งแรกทั้งสองทีมจบลงด้วยสกอร์ 0-0 และดูเหมือนว่าเกมนี้น่าจะจบแบบแบ่งแต้มกันอยู่แล้ว แต่นายทวารทีมชาติอังกฤษ ดันไม่รู้คิดอะไรเมื่อปัดบอลจากจังหวะยิงแบบขอไปทีของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ไปชนคาน และ ดิว็อค โอริกี้ สวมบทฮีโร่โคตรเพชฌฆาตโหม่งบอลเข้าประตูหน้าตาเฉย ....งานนี้ "เดอะ ค็อป" ก็เฮซิครับบบ

2. มาเน่ สนิมเกาะหน้าแข้งอีกแมตช์
ซาดิโอ มาเน่ เป็นนักเตะชั้นยอด และ ลิเวอร์พูล ได้รับประโยชน์มากมายจากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของนักเตะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ "เดอะ เร้ดส์" มอบสัญญาระยะยาวให้กับนักเตะเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะอยู่ในช่วงฟอร์มฝืดไปหน่อย

นี่เป็นเกมที่ 6 ติดต่อกันจากการลงเล่นทุกรายการของ มาเน่ ที่ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายคู่แข่งได้เลย แถม ดาวเตะทีมชาติเซเนกัล ยังพลาดโอกาสทองฝั่งเพชรถึง 2 ครั้งในแมตช์นี้ด้วย โดยโอกาสแรกเกิดขึ้นในครึ่งแรกที่เจ้าตัวหลุดไปดวลเดี่ยวกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด แต่ดันยิงเหินข้ามคานไปซะงั้น ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นในครึ่งหลังที่ซัดออกเสาไกล

อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของ อดีตสตาร์ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดเลย และยังมีความเร็วที่คอยป่วนแนวรับของ เอฟเวอร์ตัน ได้บ่อยๆ เพียงแต่ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ฟอร์มออกจากฝืดๆ ไปบ้างก็เท่านั้น

3. ฟาบินโญ่ เริ่มฉายแสงความเก่ง
ต้องยอมรับว่า ดาวเตะชาวบราซิเลียน เจอกับช่วงเวลาที่แสนยากลำบากในช่วงแรกอาชีพพ่อค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวค่อยๆ เริ่มปรับตัวได้ และด้วยเหตุนี้ทำให้ คล็อปป์ เริ่มเชื่อใจ อดีตดาวเตะ โมนาโก มากขึ้น และส่งเขาลงเล่นตัวจริงในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์

เกมนี้ ฟาบินโญ่ แสดให้เห็นถึงสิ่งที่เขาสามารถนำมาเติมเต็มให้กับแดนกลางของทีมด้วยการไล่บี้ และกัดไม่ปล่อยแข้งเอฟเวอร์ตัน รวมไปถึงยังทำผลงานได้อย่างชาญฉลาดในการเบรกเกมบุกของ "ทอฟฟีสีน้ำเงิน" และยังช่วยทีมในการเล่นสวนกลับเร็วด้วย

หนึ่งในจังหวะไล่กดดันที่โดดเด่นของ ฟาบินโญ่ ในเกมนี้ก็คือตอนที่ตัดบอลจากแข้งเอฟเวอร์ตันได้บริเวณกลางสนาม ทำให้บอลหลุดไปถึง โม ซาลาห์ ซึ่งดาวเตะทีมชาติอียิปต์ รีบส่งบอลต่อให้ ชากีรี่ ทันที แต่น่าเสียดายที่จังหวะยิงของแข้งสวิส ไปติดเซฟของ พิคฟอร์ด

ฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมที่จะบอกว่า ฟาบินโญ่ สมควรที่จะได้รับโอกาสลงเล่นตัวจริงให้ทีมมากยิ่งขึ้น

4. คล็อปป์ เน้นหลังแน่น
คล็อปป์ ทำให้หลายคนลืมสไตล์การเล่นที่บ้าคลั่งเกมบุกไปนานในฤดูกาลนี้ โดยในเกมนี้เขาเริ่มต้นเกมด้วยระบบที่ค่อนข้างจะแปลกพอสมควร

หากจำกันพวกเขาได้ชื่ว่าเป็นทีมจอมถล่มประตูจากการประสานงานของแนวรุกรหัสลับโคตรอันตราย "เอสเอ็มเอฟ" ได้แก่ ซาดิโอ มาเน่, โม ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในซีซั่นนี้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่าทำไม คล็อป์ ถึงเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่น

ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ทำได้ดีมากๆ ในเรื่องเกมรับฤดูกาลนี้ เพราะพวกเขาเสียประตูในแอนฟิลด์แค่ 1 ลูกเท่านั้นนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นนำไปสู่การเล่นเกมรุกที่ไม่ค่อยดุดันอย่างที่เคยเห็น

นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช เลือกใช้งาน ชากีรี่ กับ มาเน่ ด้วยการส่งไปเล่นด้านข้างของ ฟีร์มีโน่ ซึ่งยืนอยู่หลัง ซาลาห์ โดยงานนี้ คล็อปป์ เลือกที่จะจับ ดาวเตะแดนมัมมี่ ทำหน้าที่เป็นหน้าเป้า แต่แล้วในช่วง 20 นาที่สุดท้าย เขาตัดสินใจส่ง นาบี เกอิต้า แทนปีกชาวสวีส และหันกลับมาเล่นแนวรุก 3 คนเหมือนที่เคยทำ ก่อนที่จะเปลี่ยน แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ลงมาแทน ซาลาห์ หลังจากนั้นไม่นาน

ไม่ว่าแผนการเล่นของ คล็อปป์ จะดูแปลกตาไปก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ การเปลี่ยนตัว โอริกี้ ลงสนามถือเป็นการแก้เกมที่ถูกต้อง เพราะหัวหอกดีกรีทีมชาติเบลเยียม ทำประตูชัยได้นั่นเอง

5. กองกลาง เดอะ เร้ดส์ ขาดการสร้างสรรค์เกม
ในแมตช์ที่ดวลกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) คล็อปป์ เลือกที่จะทดลองใช้ 3 มิดฟิลด์อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ และ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม ลงคุมแผงมิดฟิลด์พร้อมกัน แต่ดูท่าทางจะไม่เวิร์ก

มิลเนอร์ ยังคงขยันเหมือนเดิม ขณะที่ เฮนโด้ แทบช่วยเกมไม่ได้เลย ขณะที่ ไวจ์นัลดุม ไม่สามารถงัดฟอร์มที่ยอดเยี่ยมเหมือนที่เขาช่วยทีมในเกมพรีเมียร์ลีกในช่วงหลายๆ สัปดาห์ ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ คล็อปป์ ต้องมีการปรับแปลงแดนกลางในแมตช์นี้ ด้วยการส่ง ชากรี กับ ฟาบินโญ่ ลงทำหน้าที่แทน มิลเนอร์ และ เฮนเดอร์สัน (ติดโทษแบน)

การใช้แผนนี้ คล็อปป์ หวังว่า ฟาบินโญ่ จะทำงานได้ดีเคียงข้าง ไวจ์นัลดุม และทำให้ ชากีรี่ มีอิสระในการสร้างสรรค์เกมรุกมากยิ่งขึ้น แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ฟาบินโญ่ แม้จะทำผลงานได้ดี แต่ก็ไม่สามารถช่วยกระตุ้นให้แดนกลางของทีมสร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพได้มากนัก

สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องการก็คือนักเตะอย่าง ดาบิด ซิลบา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาพยายามที่จะเซ็นสัญญากับนักเตะเพลย์เมกเกอร์แบบนี้ในช่วงซัมเมอร์อย่างเช่น นาบิล เฟคีร์ เป็นต้น

เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาสามประสานแนวรุกของ ลิเวอร์พูล สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีทุกอย่าง แต่หากต้องสู้กับทีมที่มีเกมรับเหนียวแน่นอย่าง เอฟเวอร์ตัน แน่นอนว่า "หงส์แดง" ต้องการนักเตะซักคนที่สามารถช่วยปลดล็อกสถานการณ์ที่อึดอัดในแดนกลาง ถ้าหากพวกเขาสามารถหาเพลย์เมกเกอร์มาร่วมทีมได้ในช่วงเดือนมกราคมนี้ งานนี้เป็นไปได้ที่ ลิเวอร์พูล จะได้ลุ้นแชมป์ไปจนกระทั่งจบซีซั่นนี้

สยามสปอร์ต

© 2018-2024 Coreball.com All Rights Reserved.