|
15
ส.ค. ลิเวอร์พูลแม่นโทษดับเชลซี คว้าซูเปอร์คัพสมัยที่4
อาเดรียน ผุ้รักษาประตูของ "หงส์แดง" กลายเป็นฮีโร่ในช่วงดวลจุดโทษหลังเซฟลูกยิงของ แทมมี่ อับราฮัม พาลิเวอร์พูลดวลฎีกาเอาชนะไปได้ 5-4 หลังเสมอในเวลา 120 นาที 2-2 ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ สมัยที่ 4 ไปครองได้แบบยิ่งใหญ่ เมื่อคืนวันพุธที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา สนาม : โวดาโฟน พาร์ค, อิสตันบูล ประเทศตุรกี (สนามกลาง) ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฟอร์มล่าสุดประเดิมเกมแรกพรีเมียร์ลีกด้วยการไล่ถล่ม นอริช 4-1 การจัดทัพของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมนี้ยังไม่มี อลีสซง เบ็คเกอร์ที่บาดเจ็บ ทำให้ อาเดรียน มือกาวชาวสเปนเฝ้าเสาแทน ส่วนแนวรุกส่ง ซาดิโอ มาเน่ ลงตัวจริงล่าตาข่ายร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ได้ออกสตาร์ทก่อน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่เป็นแค่สำรองข้างสนาม ขณะที่ เชลซี แชมป์ ยูฟ่า ยูโรปาลีก เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เกมนี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปรับทีมจากเกมที่บุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบเละเทะ 0-4 ข่าวดีคือได้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ฟิตลงเป็นตัวจริงคุมแดนกลางร่วมกับ จอร์จินโญ่ และมาเตโอ โควาซิช ส่วนสามประสานแนวรุก คริสเตียน พูลิซิช, เปโดร และใช้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เป็นหน้าเป้า ครึ่งแรก เริ่มเกมมาได้แค่ 4 นาที "หงส์แดง" ได้ลุ้นก่อนเลย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ครอสจากขวามาให้ ซาดิโอ มาเน่ กระโดดตีลังกาฟาดบอลไปติดแขน อันเดรียส คริสเตนเซ่น แม้แข้งลิเวอร์พูลจะฟ้องเอาจุดโทษแต่ผู้ตัดสินสาวก็ไม่ว่าอะไรให้เล่นต่อไป หงส์แดงยังครองเกมได้เหนือกว่า นาที 9 ฟาน ไดค์ บังบอลในกรอบเขตโทษก่อนไหลออกทางซ้ายให้ ฟาบินโญ่ วิ่งมาแปเน้นๆแต่บอลน้ำหนักไม่ดีและไปตรงตัว เกปา อาร์รีซาบาลาก้า นาที 16 ลิเวอร์พูล พลาดได้ประตูชิงขึ้นนำก่อน หลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้บอลหลุดเดี่ยวเข้าไป ก่อนจะซัดไปติดเซฟของ เกปา อย่างน่าเสียดาย นาที 22 แนวรับหงส์แดงมีระส่ำปั่นป่วนให้เห็น และเกือบจะเสียท่าให้ เชลซี หลัง เปโดร ฉกบอลเข้าไปอัดด้วยซ้ายมุมแคบบอลพุ่งไปชนคานอย่างน่าเสียดาย อีก 6 นาที โอกาสของลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ มีบ้างหลังได้ลูกคอนเนอร์ทางด้านซ้าย เจมส์ มิลเนอร์ เปิดบอลมาในกรอบ 6 หลา เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เทกตัวขึ้นโขกแต่บอลเหินคานออกไปแบบได้ลุ้น จากนั้นไม่ถึงสองนาที มาเน่ โขกเข้ากรอบหนแรกในเกมแต่บอลยังไม่เบาไม่ห่างมือ เกปา ล้มตัวรับไว้ได้ ทีมของแลมพาร์ดมาดี ทำเกมกดดันแนวรับแชมป์ยุโรป นาที 32 เกือบได้ลุ้นขึ้นนำอีกหน หลัง เปโดร แทงบอลทะลุช่องให้ มาเตโอ โควาซิช หลุดเข้าไปแตะบอลแต่ยังดีที่ อาเดรียน มือกาวของลิเวอร์พูลบล็อคลูกช่วยทีมไม่ให้เสียประตูไว้ได้ กระนั้น นาที 36 ความพยายามของ เชลซี ประสบผลสำเร็จเมื่อชิงขึ้นนำหงส์แดงไปก่อน 1-0 บอลเริ่มจาก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่พาบอลตะลุยจากแดนกลางขึ้นมาก่อนไหลต่อให้ คริสเตียน พูลิซิช กระชากบอลจี้แนวรับลิเวอร์พูลแล้วจ่ายตัดหลังให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ หลุดเข้าไปยิงด้วยซ้ายผ่านตัว อาเดรียน เข้าประตูไป "สิงห์บลูส์" ยังโจมตีอย่างต่อเนื่อง นาที 42 พลาดโอกาสได้ลูกที่สองแบบน่าเสียดาย หลัง คริสเตียน พูลิซิช กระชากลากเลื้อยจากซ้ายแล้วตัดเข้ากลางยิงด้วยขวาหนีมือ อาเดรียน เสียบมุมตาข่าย ทว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อนแล้วทำให้ลิเวอร์พูลรอดตัวไป จบครึ่งเวลาแรก เชลซี ออกนำ ลิเวอร์พูล 1-0 ครึ่งหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ แก้เกมถอดเอา อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ออกแล้วส่ง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ลงไปเล่นแทน และเพียงแค่นาที 48 หัวหอกทีมชาติบราซิลที่เพิ่งลงมาก็แผลงฤทธิ์ทันที หลัง ฟาบินโญ่ กระดกบอลข้ามหัวแนวรับสิงห์บลูส์ให้ ฟีร์มิโน่ ที่หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปดีดบอลผ่านตัว เกป้า ให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมายิงแม้จะไปติดมือเกปา แต่ยังตามไปซ้ำด้วยขวาเข้าไปไม่เหลือ ลิเวอร์พูล ไล่ตีเสมอ เชลซี 1-1 โมเมนตั้มกลับมาอยู่ที่ลิเวอร์พูลบ้าง นาที 51 ลิเวอร์พูลเกือบพลิกแซงจนได้เมื่อ มาเน่ ครอสบอลตบเข้ากลางมาให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยิงด้วยขวานอกกรอบบอลบอลแฉลบเปลี่ยนทำ แม้เกป้าจะเสียจังหวะแต่ยังคว้ามือรับไว้ได้ นาที 64 หงส์แดง เปลี่ยนตัวคนที่สองคราวนี้ส่ง จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ลงไปเล่นแทน เจมส์ มิลเนอร์ ขณะที่อีก 10 นาที เชลซี เปลี่ยนรวดเดียวสองคน ถอดเอาทั้ง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ และ คริสเตียน พูลิซิช ออก แล้วส่ง เมสัน เมาท์ กับแทมมี่ อับราฮัม ลงเล่นแทน นาที 75 หงส์แดงทิ้งโอกาสขึ้นนำแบบน่าเสียดายอีกรอบ คราวนี้เป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ซัดไปติดมือ เกปา ก่อนปัดไปเข้าทาง ฟาน ไดค์ ที่พุ่งมาซ้ำไปติดเซฟของเกปาก่อนจะพุ่งไปชนเสา ลิเวอร์พูลยังครองเกมและมีโอกาสมากกว่า นาที 80 แนวรับสิงห์บลูส์มาเสียฟรีคิกกลางประตูกว่า 20 หลา แต่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปั่นไปติดแทมมี่ ฮับราฮัม เหินหลังออกไป อีกสามนาทีต่อมา แฟนสิงห์ดีใจกันเก้อบ้าง หลัง เมสัน เมาท์ ตะบันด้วยซ้ายคมกริบบอลพุ่งเสียบมุมเสาไกลอย่างงาม ทว่าลูกนี้ผู้ช่วยผู้ตัดสินสาวยกธงล้ำหน้าชวดได้ประตูขึ้นนำอีกรอบ เกมเปิดหน้าแลกกันสนุก นาที 86 เป็นโอกาสที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แทงบอลให้ ซาดิโอ มาเน่ ได้บอลหลุดไปทางซ้ายก่อนหักข้อยิงผ่านมือ เกป้า แต่บอลพุ่งหลุดเสาไกลไปแบบสุดเสียว ช่วงเวลาที่เหลือยังไม่มีสกอร์เพิ่มเติม จบเกม เสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องต่อเวลาอีก 30 นาทีออกไปเพื่อหาผู้ชนะ ช่วงต่อเวลาพิเศษ "หงส์แดง" เปลี่ยนตัวส่ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ลงไปเล่นแทน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน นาที 92 โจ โกเมซ ที่ถูกโยกไปเล่นแบ็กซ้ายแทน ได้ลุ้นซัดประตูหลังเติมขึ้นมายิงด้วยขวาแต่บอลไม่ห่างมือ เกปา รับไว้ได้ กระนั้น อีกสามนาทีต่อมา นาที 95 แฟนบอลเดอะ ค็อป ได้เฮกันลั่นเลย เมื่อ "หงส์แดง" ทะยานขึ้นนำ 2-1 จนได้ บอลจาก ฟีร์มิโน่ ทางซ้ายหลุดถึงเส้นหลังแล้วหักเข้ากลางมาให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาแปด้วยขวาบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม และเป็นประตูที่สองของดาวยิงทีมชาติเซเนกัล แต่แฟนหงส์ดีใจได้ไม่นาน นาที 98 เชลซี มาได้ลูกที่จุดโทษหลัง แทมมี่ อับราฮัม ฉกบอลไปก่อนที่อาเดรียนจะพุ่งมารวบขาด้านหลัง ผู้ตัดสินสาวชี้เป็นจุดโทษทันที ก่อนที่ จอร์จินโญ่ จะยิงจุดโทษเข้าไปไม่พลาดให้ เชลซี ไล่ตีเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 ก่อนจบช่วง 15 นาทีแรกของการต่อเวลาฯ สลับแดนมาดวลกันอีก 15 นาทีสุดท้ายของการต่อเวลาฯ เกมเริ่มช้าทว่ากลายเป็น เชลซี ที่ทำเกมรุกได้ดีกว่า นาที 113 เกือบพังประตูขึ้นนำ หลังบอลวางยาวมาให้ แทมมี่ อับราฮัม เกี่ยวบอลลงแล้วไหลคืนให้ เมสัน เมาท์ วิ่งมายิงด้วยขวาบอลพุ่งแรงแต่ยังดีที่ อาเดรียน ยังไวพุ่งปัดออกไป และถัดมานาทีเดียว เป็นโอกาสของ เปโดร สับไกยิงด้วยซ้ายนอกกรอบบอลพุ่งถากเสาไปแบบหวุดหวิด ช่วงเวลาที่เหลือก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้จบ 120 นาที เสมอกัน 2-2 ต้องตัดสินด้วยการดวลลูกโทษเพื่อหาแชมป์ในเกมนี้ ซึ่งผลปรากฎว่า ลิเวอร์พูล ยิงได้แม่นเป้ากว่าเอาชนะ เชลซี ในช่วงดวลจุดโทษไปได้ 5-4 ซึ่งคนสุดท้ายของ "สิงห์บลูส์" เป็น แทมมี่ อับราฮัม ที่ยิงจุดโทษไปติดเซฟของ อาเดรียน ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ เป็นสมัยที่ 4 ไปครองได้สำเร็จ รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน - โจ โกเมซ, โฌแอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ น.91) - ฟาบินโญ่ ,จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ (จอร์จินโย่ ไวนัลดุม น.64) - อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ น.46), โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ (ดิว็อค โอริกี้ น.103) เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์ เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า - เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น (ฟิกาโย่ โทโมริ น.85), คูร์ท ซูม่า, เอเมอร์สัน พัลมิเอรี่ - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, มาเตโอ โควาซิช (รอส บาร์คลี่ย์ น.101) - เปโดร โรดริเกซ, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (แทมมี่ อับราฮัม น.74), คริสเตียน พูลิซิช (เมสัน เมาท์ น.74) เทรนเนอร์ : แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้ตัดสิน : สเตฟานี่ ฟรัปปาร์ (ฝรั่งเศส) |
|